โรคไข้เลือดออก ใครต่างก็ทราบกันดีแล้วว่าเป็นโรคที่น่ากลัว และควรดูแลสุขภาพให้รอดพ้นจากความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้จะดีที่สุด เนื่องจากอาการและผลของมันสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพได้อย่างร้ายแรง บางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้นเราจึงควรรู้จักสาเหตุและวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้เป็นไข้เลือดออกพร้อมทั้งปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกน้อยยิ่งควรใส่ใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ
สาเหตุของโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากตัวไวรัสเดงกี่ โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรคซึ่งยุงลายเพศเมียจะเป็นตัวที่คอยกัดคนในช่วงเวลากลางวันเพื่อดูดเลือดเป็นอาหาร
สำหรับเชื้อไวรัสนั้นจะเข้าสู่กระเพาะของยุง ซึ่งมันจะเข้าไปอยู่ในเซลล์ที่เป็นบริเวณผนังกระเพาะและจะยิ่งเพิ่มจำนวนไวรัสมากขึ้นจนออกมาจากเซลล์ผนังกระเพาะ จากนั้นจะ
เดินทางเข้าสู่ต่อมน้ำลายของยุงที่พร้อมจะเข้าสู่คนที่ถูกกัดต่อไป สำหรับระยะเวลาในการฟักตัวในยุงนั้นจะอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 8-12 วัน และเมื่อยุงตัวนั้นไปกัดคนอื่นก็จะทำ
การปล่อยเชื้อไวรัสไปยังผู้ที่ถูกกัดต่อไป เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจนผ่านระยะเวลาในการฟักตัวนานถึง 5-8 วัน ผู้ป่วยก็จะมีอาการของโรคไข้เลือดออกแสดงออกมา
อาการของโรคไข้เลือดออก
อย่างที่ทราบแล้วว่าเมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อเป็นเวลา 5-8 วันก็จะปรากฏอาการของโรคอย่างชัดเจนออกมา จากนั้นจะมีอาการที่รุนแรงแตกต่างกันออกไป
ในเบื้องต้นจะมีอาการคล้ายกับเป็นไข้และมีอาการรุนแรงมากขึ้นจนอาจถึงขั้นช็อกและเสียชีวิตได้ สำหรับโรคไข้เลือดออกนั้นยังมีอาการแสดงออกมาชัดเจน
โดยสามารถสังเกตได้ดังนี้
ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงลอยประมาณ 2-7 วัน และยังมีไข้สูงที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างเฉียบพลัน โดยส่วนใหญ่ไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียสหรืออาจสูงถึง 40-41 องศาเซลเซียส ซึ่งในบางรายอาจมีอาการชักเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในเด็กที่เคยมีประวัติการชักมาก่อ
ผู้ป่วยจะมีอาการเลือดออก ซึ่งพบบ่อยที่สุดในบริเวณผิวหนัง โดยจะตรวจ พบว่า ผู้ป่วยมีเส้นเลือดเปราะและแตกง่ายร่วมกับมีจุดเลือดออกเป็นจุดเล็กๆ กระจายอยู่
เต็มตามแขน ขา ลำตัว และรักแร้ ทั้งนี้อาจมีเลือดดำหรือเลือดออกตามไรฟัน สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในรายที่มีอาการขั้นรุนแรงอาจมีอาการอาเจียนและถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
ซึ่งก็มักจะเป็นเลือดสีดำ สำหรับอาการเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนใหญ่นั้นจะพบร่วมกับภาวะช็อกในรายที่มีการช็อกอยู่นาน
3. ผู้ป่วยจะมีอาการตับโต และเมื่อกดจะรู้สึกเจ็บ โดยส่วนใหญ่จะพบว่าตับโตในช่วงวันที่ 3-4 นับตั้งแต่เริ่มป่วย
4. ผู้ป่วยจะมีภาวการณ์ไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ซึ่งประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยเป็นไข้เลือดออกจะมีอาการรุนแรง หรือที่เราเรียกว่าภาวะช็อกนั่นเอง เนื่องจากมีการรั่ว
ของพลาสมาออกไปยังช่องปอดหรือช่องท้อง เกิด Hypovolemic Shock ซึ่งโดยส่วนใหญ่มันจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการที่ผู้ป่วยมีไข้ที่ลดลงอย่างรวดเร็วสำหรับช่วงเวลาที่
ผู้ป่วยเกิดอาการช็อกนั้นจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มีไข้ด้วยเช่นกัน อาจจะเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3 หรือวันที่ 8 ของวันที่ป่วย ทั้งนี้ผู้ป่วยอาจจะมีอาการที่แย่ลง โดยเริ่มมี
อาการกระสับกระส่าย มือเท้าเริ่มเย็น ชีพจรเบา และความดันโลหิตมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ข้อแตกต่างระหว่างไข้เลือดออก กับไข้ธรรมดา
มีไข้สูงตั้งแต่ 39 – 90 องศาเซลเซียส
ส่วนมากไม่มีน้ำมูก ไม่ไอ
อาจมีการปวดเมือยตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ ปาดดวงตา
อาจพบว่ามีจุดเลือดออกตามผิวหนัง
มีเลือดออก (กรณีอาการถึงขั้นรุนแรง) เลือดกำเดาไหล เลือดตามไรฟัน อาจถ่ายหรืออาเจียนเป็นเลือด
การป้องกันไข้เลือดออก
1. แจ้งสาธารณสุขในเขตพื้นที่มาทำการฉีดยากันยุง
2. พยายามอย่าให้ผู้ป่วยที่กลับมาพักฟื้นที่บ้านโดนยุงกัดในระยะเวลา 5 วันแรก เพราะระยะนี้ผู้ป่วยจะยังมีเชื้อไวรัสไข้เลือดออกหลงเหลืออยู่ซึ่งหากโดนยุงกัดอาจทำให้แพร่กระจายสู่คนในบ้านได้
3. ทำการกำจัดลูกน้ำยุงลายรอบบริเวณบ้าน ถ่ายถ้วยน้ำรองขาโต๊ะหรือน้ำในแจกัน
4. ติดมุ้งลวด หรืออย่างน้อยควรกางมุ้งเวลานอน
5. ทายากันยุงป้องกันยุงกัด